หนังสือสู้ชีวิต บท 1

IMG_3046
Share this...

เรื่อง ตาบอดทำได้ทุกอย่าง ฝันให้ไกลไปให้ถึง…

บทที่ 1 part 1 ใฝ่ฝันเป็นนักกฎหมาย อย่างคนตาบอดอเมริกัน

 

ผม เด็กชายเต็งเซ็ง แซ่นา ( เปลี่ยนชื่อ เป็น นายวิริยะ นามศิริพงค์พันธุ์ เมื่อเข้าเรียน มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ) เกิดวันที่ 3 มกราคม 2495 ที่ตลาดเมืองคง อำเภอคง จังหวัด นครราชสีมา อำเภอคง เป็นอำเภอที่แห้งแล้ง และยากจนที่สุด ของจังหวัดนครราชสีมา เป็นอำเภออยู่ระหว่าง อำเภอเนินสูง กับ อำเภอบัวใหญ่โดยดูตามเส้นทางรถไฟเป็นหลัก เพราะเป็นเส้นทางคมนาคมเส้นทางเดียวที่ใช้กัน ภายหลังจึงมีเส้นทางรถยนต์ ซึ่งเริ่มจากทางดิน มาเป็นทางราดยางปัจจุบัน

 

ตลาดเมืองคงเกิดจากการสร้างทางรถไฟ โคราช-หนองคาย เมื่อมีสถานีรถไฟเมืองคง ชาวบ้านเริ่มจับจองที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า รวมทั้งคุณตาของผมด้วย เพราะคุณตารับจ้างทำทางรถไฟ เมื่อมีโอกาศจับจองเอาที่ดินได้เปล่าๆ จึงจับจองเท่าที่มีปัญญาทำประโยชน์และดูแลไหว

 

นอกจากนี้คุณตายังได้แต่งงานกับหญิงไทย มีลูกด้วยกัน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ส่วนมารดาผม เป็นลูกภรรยาหลวง ซึ่งอยู่เมืองจีนไม่ได้ตามมาเมืองไทยด้วย คุณแม่ของผมมีน้องชายหนึ่งคนเช่นกัน

 

ส่วนคุณพ่อเป็นคนจีน อยู่ที่เมืองซัวเถา ขายน้ำเต้าหู้ยังชีพ เมื่อทราบว่าญาติๆ ที่มาอยู่เมืองไทย อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า คุณพ่อจึงแอบขึ้นเรือขนสินค้าที่มุ่งหน้ามาเมืองไทย เมื่อเรือออกเดินทางจึงขอใช้แรงงานตอบแทนค่าโดยสารเรือ

 

หลังจากนั้นคุณพ่อเริ่มทำการค้าขาย ด้วยการขายผ้าและได้แต่งงานกับคุณแม่ที่กรุงเทพฯ มีลูกด้วยกันทั้งสิ้น 9 คน ในระหว่างอยู่ที่กรุงเทพ คุณพ่อและญาติได้ตกลงกันซื้อตึกแถวที่ สำเพ็งกันคนละห้อง ในระหว่างที่คุณพ่อได้ตกลงขายผ้าให้กันที่ต่างๆ เพื่อเอาเงินมาชำระค่าตึก

 

แต่คุณพ่อโชคร้ายมาก เมื่อย่านที่คุณพ่ออาศัยอยู่เกิดไฟไหม้ ทำให้ผ้าถูกไฟไหม้หมด คุณพ่อแทบเสียสติ ต้องกินเหล้าช่วยและอาศัยอยู่กับญาติที่กรุงเทพ

 

ส่วนคุณแม่รีบพาลูกๆ 9 คนมาอยู่กับคุณตาที่ตลาดเมืองคง สถานีรถไฟเมืองคง คุณแม่และลูกๆ จึงประกอบอาชีพการค้าขายอย่างที่เคยทำ จากการขายผ้าเป็นการเริ่มต้น และหาสินค้าใหม่ๆ มาขายเพิ่มเติม เมื่อคุณพ่อทำใจได้จึงตามมาทำการค้าขายที่ตลาดเมืองคงด้วย ขายผ้าเป็นหลัก ขายสินค้าอื่นเป็นรอง

 

ส่วนผมเกิดที่ตลาดเมืองคงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2495 เนื่องจากตลาดเมืองคงตั้งอยู่บริเวณริมคลองที่น้ำไหลจากบึงที่อยู่บนที่สูง ไหลลงสู่แม่น้ำชี เพื่อกั้นน้ำในลำคลองให้มีน้ำใช้ในฤดูแล้ง จึงมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำไม่ให้น้ำไหลลงสู่แม่น้ำชีทั้งหมด ให้ไหลลงสู่แม่น้ำชีเฉพาะส่วนที่เกินความต้องการใช้ในฤดูแล้ง ชีวิตวัยเยาว์ ผมชอบจับปลาด้วยวิธีการต่างๆ แตกต่างกันไปตามฤดูกาล ปลาส่วนใหญ่จะมากับน้ำที่ไหลจากบึง ซึ่งอยู่ต้นสายของน้ำอยู่ที่เนินที่สูง เมื่อถึงฤดูน้ำ น้ำมีเกินจำนวนที่บึงจะเก็บไว้ได้ น้ำก็จะไหลลงสู่ลำคลองที่ไหลผ่านตัวตลาดเมืองคงลงสู่แม่น้ำชี มาพร้อมกับปลาจำนวนมาก

 

ถึงกระนั้นก็ตาม น้ำในลำคลองจะเหมาะใช้เฉพาะในฤดูฝน สำหรับฤดูแล้งน้ำจะเหลือน้อยและสกปรกไม่เหมาะแก่การนำมาใช้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ชาวตลาดเมืองคง จึงจำเป็นต้องทำสระเก็บไว้ใช้ในฤดูแล้ง ฤดูฝนมาน้ำในลำคลองมีจำนวนมาก ชาวบ้านตลาดเมืองคงจะใช้เครื่องสูบน้ำ สูบน้ำจากลำคลองมาไว้ในสระ ระยะแรกๆ น้ำในสระ อาจจะขุ่นเหมือนน้ำในคลอง แต่ปล่อยไว้นานวันเข้าดินในน้ำมีการตกตะกอนน้ำในสระก็สะอาดขึ้น และชาวบ้านจะช่วยกันดูแลไม่ให้มีพืชในสระน้ำที่เก็บไว้ใช้ เพราะพืชมักจะทำให้น้ำไม่สะอาด

 

เมื่อผมอยู่ในวัยที่พอยกน้ำเป็นปีบไหว ผมก็ทำหน้าที่ไปตักน้ำมาใช้ที่บ้านในฤดูแล้ง โดยมีรถเข็นที่สามารถใส่น้ำได้หลายปีบ แล้วใช้รถเข็นนี้เข็นไปที่สระเอาน้ำใส่ปีบ จำนวนหลายปีบ แล้วเข็นกลับมาใส่ที่เก็บน้ำที่บ้านไว้ใช้ในฤดูแล้ง เพราะน้ำเก็บไว้ จะเป็นน้ำค่อนข้างสะอาด เมื่อนำมากวนสารส้ม ให้ดินตกตะกอน น้ำนั้นก็เป็นน้ำที่ขาวสะอาดนำมาใช้ดื่มกินได้ แต่เพื่อความปลอดภัยจะมีการต้มน้ำให้เดือดแล้วเทใส่ถังที่มีก๊อกเปิดน้ำดื่มได้

 

เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นก็มีน้ำประปาใช้ แต่ผมเองตาบอด ก่อนที่ตลาดเมืองคง จะมีน้ำประปาใช้

 

ที่ว่าผมชอบจับปลานั้นจะมีวิธีการจับปลา ที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาล ในกรณีที่น้ำไหลหลากจากบึงที่สูง ลงมาสู่ตลาดเมืองคงนั้น ก็จะมีปลาตามมาด้วย วิธีจับปลากรณีน้ำไหลหลาก จะใช้เบ็ดถ่วง เบ็ดถ่วงจะมีเชือกยาวระหว่างของหนักจะเป็นเหล็กรึก้อนหิน 2 อัน หรือ 2 ก้อน และเส้นราวที่ยาวนี้ จะมีเบ็ดเป็นจำนวนมาก แขวนห่างกันประมาณหนึ่งคืบ เบ็ดแต่ละอัน จะเป็นลำไม้เล็กๆ เท่ากับไม้ตะเกียบยาวหนึ่งคืบด้านหนึ่งจะมีเบ็ดพร้อมกับเชือกผูกไม้ไว้แน่น และอีกด้านหนึ่งไม้จะถูกมัดไว้กับเส้นราวหรือ เส้นยาว นั้นเบ็ดแต่ละอันจะอยู่ห่างกันหนึ่งคืบ เหยื่อที่ใส่เบ็ด จะเป็นไส้เดือนตัวเล็กๆ เมื่อใส่เหยื่อเรียบร้อย คนสองคนช่วยกันถือก้อนหินหรือเหล็กโยนไปในลำคลอง เวลาผ่านไปได้ซักระยะ ผมจะไปจับเชือกที่เชื่อมจากก้อนอิฐมามัดไว้ที่สะพาน เพื่อดูว่ามีการสั่นไหวรึไม่ เมื่อพบว่ามีการสั่นไหวก็จะสาวเบ็ดขึ้นมาไว้บนสะพานให้เป็นเส้นยาวเหมือนเดิม และมักพบว่าเบ็ดบางคันจะติดปลาขึ้นมาด้วย บางคันเหยื่อหมด เมื่อปลดเอาปลาออก จากเบ็ดใส่ที่เก็บปลา หลังจากนั้นเติมเหยื่อให้ครบแล้วโยนลงไปในน้ำใหม่ เบ็ดชนิดนี้เรียกว่าเบ็ดถ่วง

 

เมื่อหมดฤดูน้ำหลากน้ำไม่ไหล น้ำเริ่มนิ่งแล้ว เราก็จะเปลี่ยนเบ็ดถ่วงมาเป็นเบ็ดราวแทนด้วยการเอาเส้นเชือกยาวไปมัดไว้กับก้อนหิน หรือเหล็ก แต่เราจะมัดกับต้นไม้ในระดับผิวน้ำ หรือเอาลำไม้ลวก มาปักลงไปในน้ำ ใกล้ๆ บริเวณโพรงหญ้าซึ่งปลามักใช้เป็นที่อยู่อาศัย เมื่อเห็นเหยื่อที่เบ็ดราวกินเข้า ก็ติดเบ็ด ปลาติดเบ็ดราวเราเห็นได้ชัดว่าปลาดึงเบ็ดราว ขึ้นๆ ลงๆ เมื่อมีปลาติดเบ็ดราวพอสมควรเราก็จะยกเบ็ดราวขึ้นมาปลดปลาออกจากเบ็ด แล้วนำไปตกปลาใหม่

 

นอกจากเบ็ดราวแล้วยังมีเบ็ดฟาด ไว้ตกปลาฤดูน้ำนิ่ง เป็นการตกเบ็ดที่ผมชอบมากที่สุดเพราะสนุกและตื่นเต้นดี เบ็ดฟาดจะเป็นลำไม้เล็กๆ ยาวประมาณ 2 เมตรปลายไม้ จะผูกเชือกเชื่อมกับเบ็ด ระหว่างกลาง จะมีทุ่นลอยน้ำผูกไว้ตามความเหมาะสมตามความลึกของน้ำ แต่โดยทั่วไปแล้วระหว่างเบ็ดกับทุ่นจะไม่ยาวมากนักอยู่ในระดับที่ปลาหาอาหารกิน เมื่อเราโยนเบ็ดฟาดลงไปเมื่อไหร่ที่ทุ่นขยับขึ้นลง เราก็จะกระตุกเบ็ดเล็กน้อย ไม่แรงจนเกินไปพอให้แน่ใจว่าถ้าปลากินเหยื่อเบ็ดสามารถเกาะปลาอยู่ เมื่อไหร่กระตุกแล้วหนักแสดงว่าปลาติดเบ็ด เราต้องรีบกระดกคันเบ็ดให้เชือกฟาดขึ้นมาบนฝั่งโดยเร็ว ถ้าเป็นปลาตัวเล็กค่อนข้างเบาเราก็ไม่ต้องฟาดขึ้นฝั่ง เพียงตกขึ้นมาปลดเอาปลานั้น ปลาที่ได้ส่วนใหญ่เป็นปลากระดี่ หรือปลาขาว ถ้าตัวใหญ่หน่อย ก็จะเป็นปลาหมอหรือปลาดุก ถ้าได้ปลาตัวใหญ่ ก็เหมือนคนเล่นหวยถูกรางวัลที่หนึ่ง ดีใจสุดๆ

 

นอกจากเบ็ดฟาดยังมีเบ็ดปัก เบ็ดปักจะเป็นลำไม้เล็กๆ ปลายด้านหนึ่งแหลมอีกด้านหนึ่ง จะผูกเชือกเชื่อมกับเบ็ด เมื่อใส่เหยื่อแล้ว ก็นำไปปักในตำแหน่งที่คิดว่าจะมีปลา เบ็ดปักจะปักทีละ 20 คัน ถึง 50 คันเบ็ด โชคดีวันหนึ่งติดปลา 10 ตัว ปลาที่ติดเบ็ดปัก มักเป็นปลาหมอ ปลาดุก ปลาช่อน แต่มักโชคร้ายติดปลาไหล ปลาไหลมักจะดึงเบ็ดไปพันกับกอหญ้า เมื่อถึงเช้าไปเก็บ

 

เบ็ดปลาไหลก็มักตายแล้ว เนื้อไม่อร่อย ถ้าได้ตัวเป็นและตัวใหญ่ก็โชคดีไป นำมาทำแกงปลาไหลอร่อยมาก กรณีปลาไหลต้องระวังให้ดีบ้างครั้งไม่ใช่ปลาไหล แต่เป็นงูที่อยู่ในน้ำซึ่งบางตัวมีพิษ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีพิษ

 

นอกจากตกเบ็ดแล้วผมยังทำจั่นดักปลาในฤดูหนาว สำหรับปลาที่ต้องการที่วางไข่ จั่นนั้นจะเป็นกล่องไม้ขนาดปีบน้ำมันก๊าซ จะมีช่องให้ปลาเข้า เมื่อปลาเข้าไปโดนเชือกที่อยู่ข้างใน ไม้นั้นจะหลุดลงมาปิดจั่นทำให้ปลาออกมาไม่ได้ เวลากลางคืนถ้าว่าง ก็เดินตรวจดูทั้งเบ็ดทั้งจั่น เพราะถ้าได้ปลาจะได้จับขึ้นมา หากปล่อยถึงเช้าปลาเหล่านี้มักตายเสียก่อน ทำให้รสชาติไม่อร่อย ที่จับปลาทีละจำนวนมากๆ เรียกว่าสุ่มดักปลา สุ่มดักปลาทำด้วยไม้ไผ่จักสารลักษณะคล้ายถังน้ำมัน 200 ลิตร แต่ขนาดเล็กกว่าด้านล่างสุดจะมีช่องให้ปลาเข้าไป เพราะทางเข้า จะเป็นไม้เล็กๆ ประสานงากัน เมื่อปลามุดเข้าไปแล้ว ก็จะออกมาไม่ได้ เพราะจะถูกไม้ที่ประสานงาทิ่มเอา ที่ทำไว้สองชั้นเมื่อปลาเข้าไปเป็นจำนวนมากจะยากลำบากในการทำลาย ไม่ประสานงาทั้งสองชั้น ในสุ่มดักปลานี้เราจะมีอาหารล่อปลาให้เข้าไปกิน อาหารนั้นมักทำจากข้าวโพดคั่วคลุกกับขี้วัว และของผสมอื่นๆ ที่ทำให้มีกลิ่นหอมสำหรับปลา และทำเป็นก้อนใส่เข้าไปในสุ่มดักปลานั้น ปลาจะไปกินอาหารได้ต้องทะลุ ที่ประสานงาชั้นที่สองซึ่งเป็นชั้นที่แข็งแรง ยากที่ปลาจะทำลายสุ่มดักปลานี้ ผมเคยได้ปลาดุกฝูงใหญ่ถึง 60-70 ตัว ต้องใช้หลายคนช่วยกันยกเพื่อไม่ให้สุ่มแตก จะรู้ได้จากเสียงปลาดุกตีน้ำดังอยู่ตลอดเวลา แต่นานๆ จะได้มากขนาดนี้ เหมือนถูกรางวัลที่ 1 ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 5-20 ตัว

 

อุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่ใช้จับปลาคือ ไส ลักษณะของไสคล้ายสุ่มดักปลาแต่ขนาดเล็กกว่ามากใช้จับปลาที่ไหลตามลำคลองเล็กๆ ด้วยทำเขื่อนกั้นคลองเล็กๆ นั้นแล้วเอาใส่วางไว้บนเขื่อนกั้นน้ำระดับผิวน้ำ เมื่อน้ำไหลผ่านเขื่อนถ้าปลาไหลมาด้วยก็จะเข้าไปอยู่ในไสพอสมควรก็ยกขึ้นมาจับปลาใส่ที่เก็บแล้วดักใหม่ ส่วนใหญ่เป็นปลาตัวเล็กถ้าได้ ปลาช่อนปลาดุก ปลาหมอ ก็ถือว่าถูกรางวัลที่ 1

 

ที่จับปลาฤดูหนาวอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ตะข่าย หรือ มอง  ตะข่าย หรือมองนี้ จะกั้นเป็นช่องๆ มีผลิตขายเพียงแต่เราไปซื้อมา ความกว้างประมาณ 1 เมตร ส่วนความยาวแล้วแต่เรา เพราะเขาม้วนมองไว้เป็นก้อน เวลาซื้อ ก็เพียงแต่บอกขนาดของช่อง และขนาดความยาวของมอง วิธีจับปลาด้วยมอง ผมมักใช้ขึงขวางทางน้ำหรือขึงรอบกอหญ้าใหญ่ๆ ซึ่งมักมีต้นไผ่ไม้ลวกอยู่ด้วย ซึ่งปลาเข้าไปอยู่อาศัยเพื่อทำรังวางไข่

 

อุปกรณ์อีกอย่าง คือ แห เป็นตะข่ายผื่นใหญ่พอสมควร ช่องตาข่ายค่อนข้างเล็ก รอบตะข่ายจะเป็นโซ่เหล็ก คนที่จับปลาด้วยแห ต้องมีฝีมือพอสมควร เพราะการหว่านแห ต้องสามารถ โยนตาข่ายลงไปในน้ำ เป็นลักษณะ ผืนผ้าวงกลมได้ ผมหว่านแหไม่เป็น โยนแหลงไปทีไร ไม่เคยบานออก แต่เป็นกระจุกจมน้ำ ซึ่งหาประโยชน์ไม่ได้ เมื่อหว่านลงไปแล้วถ้าเป็นปลาตัวไม่ใหญ่ ก็ดึงแหขึ้นมาพร้อมกับปลาได้ แต่ถ้าเป็นปลาตัวใหญ่ รู้ได้จากการดิ้นของแหคนจับต้องยอมดำน้ำใช้แหพันปลาไว้ก่อน แล้วจึงค่อยยกขึ้น มิฉะนั้นปลาตัวใหญ่ ก็จะหลุดออกจากแหได้อย่างง่ายดาย เพราะโซ่เหล็กที่ล้อมแหนั้น เวลาดึงขึ้นมันกระจุกเข้าด้วยกัน พอรับปลาขนาดปลาหมอได้แต่ ถ้าปลาตัวใหญ่ก็สามารถดิ้นทะลุกระจุกโซ่เหล็กออกมาได้ อย่างง่ายดาย ด้วยน้ำหนักของปลาและแรงดิ้น ทำให้โซ่เหล็กที่เป็นกระจุก ถ่างออกจากกันอย่างง่ายดาย

 

ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดข้างต้น เพื่อให้เห็นว่า ผมเป็นเด็กที่ชอบจับปลาจริงๆ ครับ เพื่อนๆ ผมในวัยเดียวกันไม่มีใครสนใจเรื่องเหล่านี้ เขาสนใจอ่านหนังสือมากกว่า

 

ผมมีนิสัยที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง เหมือนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันแต่เขาไม่มัวเมาเท่ากับผมคือการเล่นการพนัน ในวัยเด็ก การเล่นการพนันเริ่มด้วยการเล่นการพนันเอายางวง ซึ่งเป็นยางที่ใช้รัดของ การเล่นการพนันด้วยยางวงมีหลายรูปแบบ ที่นิยมเล่นคือแข่งกันโยนยางวงไปที่แดนเส้นเขตที่ขีดไว้ แล้วแต่ตกลงกันว่าจะให้ห่างกันเท่าไหร่โดยทั่วไปจะห่างกัน ของผู้โยนกับแนวเขต 2-3 เมตร ยิ่งไกล ยิ่งต้องใช้ยางวงที่หนาใหญ่ซึ่งหายาก ส่วนใหญ่ใช้ยางวงที่รัดของทั่วไปใครโยนได้ไกลสุดโดยไม่หลุดเส้นแนวเขตคนนั้นชนะ ยางวงที่ไกลสุดคือยางวงที่ออกนอกเส้นแนวเขต แต่ปลายล่างของยางวงยังแตะอยู่ที่เส้นแนวเขต ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเส้นไม่หลุดออกจากเส้นไป โอกาศที่จะเกิดขึ้นมีน้อยมาก เหมือนถูกรางวัลที่ 1

 

ยิงยางวงให้หลุดจากยางรัด การเล่นอย่างนี้ จะมีการได้เสีย ยางวง คราวละจำนวนมาก วิธีเล่นจะปักเสาไว้ 2 เสา ห่างกันประมาณหนึ่งคืบ ใช้ยางวงเส้นใหญ่รัดสองเสาเอาไว้ หรือสวมเข้าไปในสองเสานั้น ทำให้ยางวงมีแรงบีบเน้นจากนั้น ตกลงกันว่า จะเล่นครั้งละกี่เส้นยางวงปกติ จะอยู่ระหว่าง 50 เส้น เอายางวง 50 เส้น เอาไม้เสียบเข้าไปในระหว่างยางวง 50 เส้นนี้ แล้วเอายางวงใส่เข้าไปในระหว่างยางรัด ดึงยางวง 50 เส้นลงมาจนติดอยู่กับยางรัด จากนั้นก็เว้นระยะห่างพอสมควรตามที่ตกลงกัน แล้วแต่ละคนก็หายางวงอย่างหนายิงให้พวงยางวงหลุดออกจากยางรัด ใครทำให้หลุดออกได้มากเท่าไหร่ ก็ได้ยางวงไปมากเท่านั้น กว่าจะหลุดหมดก็ใช้เวลาพอสมควร บางคนฝีมือดี สามารถยิงให้หลุด ออกมาทั้งหมดพร้อมกันได้ด้วยวิธียิงเสยไม้อย่างแรง จนไม้กระเด็นออกไปพร้อมยางวง ยางรัดเอาไม่อยู่ นอกจากนี้ยังมีการเล่นไพ่เพื่อเอายางวง

 

การเล่นไพ่ มีทั้งไพ่ 9 แต้ม กล่าวคือ จะแจกไพ่คนละ 3 ใบ ใครได้ 9 แต้ม มีคะแนนสูงสุด ถ้ามีอยู่คนเดียว ก็เป็นผู้ชนะ 9 แต้มนั้นอาจจะเกิดจากเลขผสมทั่วไปเช่น ใบแรกเลข 4 ใบที่สองเลข 5 ใบที่สามเลข 10 เก้าแต้มที่สูงขึ้นไป คือเก้าแต้มที่เป็นเลขเรียง คือ 2-3-4 และสูงกว่าเลขเรียง และถือว่าเป็น เก้าแต้มสูงสุด คือ ตองสาม หรือเลข 3 สามใบ เพราะไพ่หนึ่งสำหรับ จะมีเลขเหมือนกัน 4 ใบ ที่นิยมเล่นกันมากที่สุด คือไพ่ ยี่อีก หรือ ไพ่ 21 แต้ม ไพ่นี้จะเล่นกันเป็นวงใหญ่ มีคนเป็นเจ้ามือ เจ้ามือจะให้ผู้เล่นสลับไพ่ปนกันไปมา จากนั้นเจ้ามือจะแจกไพ่คนละ 2 ใบ รวมทั้งเจ้ามือด้วย จากนั้นก็เอาไพ่ 2 ใบเปิดออกดู คะแนนสูงสุดคือ 21 แต้ม ส่วนไพ่ J Q K มีค่าเท่ากับ 10 แต้ม ส่วน A มีค่าเท่ากับ 11 ถ้าใครมี A ก็ได้เปรียบคนอื่น ถ้า A สองตัว ถือว่าสูงสุดโอกาศเกิดเหมือนถูกรางวัลที่ 1  กติกาคือ ผู้ที่มีไพ่บนมือใกล้ 21 แต้มที่สุด ถือเป็นผู้ชนะ ถ้าอยู่ที่เจ้ามือ เจ้ามือกินรวบ ถ้าอยู่กับผู้เล่น เจ้าต้องจ่ายให้กับผู้ชนะ อันที่จริงแล้วการเล่นไพ่มีวิธีอีกมากมาย เพราะการเล่นไพ่เอายางวง ในสมัยผมเป็นเด็กนั้น มันสนุกมาก เล่นเพลินจนไม่ทันสังเกตุว่าตำรวจมา พวกผมก็เลยถูกจับไปที่โรงพัก และให้นั่งอยู่ที่โรงพักจนเย็นจึงปล่อยให้กลับบ้าน จากนั้นผมกลัว จนไม่กล้าเล่นอีกเลย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป